รอยแผลเป็นมีได้หลากหลายลักษณะ เรามาดูกันว่ามีอย่างไรบ้าง
1.แผลเป็นที่มีสีผิดปกติ คือ มีสีที่เข้มกว่าหรืออ่อนกว่าสีผิวปกติที่อยู่รอบ ๆ แผลมองเห็นได้ชัดเจน
2.แผลเป็นที่อาจมีการดึงรั้งของผิวหนัง ทำให้ลักษณะร่างกายบิดเบี้ยวไปตามแรงดึงรั้งของแผลจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เช่น แผลเป็นตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือที่ใบหน้าซึ่งอาจจะเกิดจากอุบัติเหตุ
3.แผลเป็นที่มีรูปร่างผิดไปจากผิวหนังเดิม เช่น “แผลเป็นนูน” หรือแผลเป็นที่มีรอยบุ๋มลงไปซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
3.1 แผลนูนชนิดธรรมดา จะนูนหลังการผ่าตัดหรือการเย็บแผลใหม่ ๆ แผลจะมีลักษณะนูนอย่างเดียว ไม่ขยายขอบออกจากแผลเก่า แผลจะมีขนาดเล็กลงได้เองแต่อาจใช้เวลาหลายเดือน อาจนวดเบาๆ ทุกวัน เพื่อช่วยให้แผลนูนยุบลงได้
3.2 แผลนูนชนิดคีลอยด์ เป็นแผลเป็นที่มีลักษณะนูนแข็งเห็นชัดจากผิวหนังปกติ และลามออกไปยังผิวหนังบริเวณข้างเคียงด้วย มักจะมีอาการคันเล็กน้อย พบได้จากแผลที่ถูกมีดบาดหรือแผลหลังการผ่าตัด เช่น ผ่าตัดไส้ติ่ง คลอดลูก หลังการปลูกฝี หรือแผลถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก เป็นต้น แผลแบบนี้นะคะ ดูไปแล้วก็เหมือนตัวปลิงหรือตะขาบมาเกาะอยู่
การรักษารอยแผลเป็น
ควรเริ่มรักษาตั้งแต่แผลเริ่มแห้ง จะช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นอย่างได้ผลดีที่สุดค่ะ
วิธีรักษารอยแผลเป็น อาจใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกันดังนี้
สำหรับแผลเป็นเล็กน้อย แผลไม่ลึกเข้าถึงผิวหนังชั้นใน
1.ใช้ยาทารักษาแผลเป็น
- สำหรับแผลเป็นที่เป็นรอยดำ เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยาที่เป็นซิลิโคนเจล ยาที่มีวิตามิน E หรือวิตามิน A เจลว่านหางจระเข้ ขึ้นอยู่กับสาเหตุว่าแผลเป็นจากสาเหตุใด ซึ่งโดยทั่วไปอาจช่วยลดอาการคันหรือทำให้แผลเป็นสีจางลงได้เล็กน้อย ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
- สำหรับแผลเป็น แผลถลอกเล็กน้อยเพิ่งแห้ง อาจใช้เจลที่มีส่วนผสมของ Allium Cepa, Centella, Aloe vera จะช่วยให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แผล ลดการเกิดรอยดำ
- สำหรับแผลเป็นนูน ควรใช้เจลซิลิโคน (Dermatix ultra) ทาและถูนวดบริเวณที่เป็น เพื่อช่วยให้แผลกลับเรียบเนียนได้เหมือนเดิม
สำหรับแผลเป็นนูน จากการผ่าตัด หรือถูกบาดลึกเข้าถึงผิวชั้นใน
1. การใช้แผ่นซิลิโคนเจลปิดบริเวณแผลเป็น สำหรับแผลที่ค่อนข้างลึกจะมีโอกาสเกิดแผลเป็นนูนมากกว่าแผลทั่วไป ป้องกันโดยติดแผ่นซิลิโคนเจลบริเวณแผลที่กำลังจะหายเพื่อช่วยลดการขยายตัวของแผล
2.การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าใต้แผลเป็น กรณีแผลเป็นนูนขึ้นมามากและขยายตัวเพิ่ม(คีลอยด์) เพื่อให้แผลเป็นยุบตัวลง โดยจะต้องฉีดหลายครั้ง ครั้งละประมาณ 0.5 – 1 cc ห่างกันประมาณเดือนละ 1 ครั้ง จนกว่าแผลจะแบนราบ ซึ่งใช้เวลาไม่เท่ากันกันในแต่ละแผลเป็น ถ้าแผลเป็นมีขนาดใหญ่ก็ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นค่ะ
3. การผ่าตัดเอาแผลเป็นเก่าออก แล้วจึงเย็บแผลใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งอาจใช้ได้กับแผลเป็นบางชนิดเท่านั้น การผ่าตัดควรทำเมื่อแผลเป็นนั้นสมบูรณ์เต็มที่แล้วไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ถ้าแผลเป็นมีบริเวณกว้างก็อาจต้องใช้วิธีการผ่าตัดย้ายผิวหนังส่วนใดส่วนหนึ่งของคุณมาปิดซึ่งการผ่าตัดแก้ไขจะต้องทำโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อดูแลไม่ให้เกิดแผลเป็นซ้ำขึ้นมาอีก
4. กรณีที่มีแผลเป็นแบบรอยบุ๋ม แพทย์อาจพิจารณา ฉีดสารสังเคราะห์ เช่น คอลลาเจน สารHyaluronic acidเข้าไปในรอยบุ๋ม เพื่อให้ผิวหนังเต็มขึ้น แต่จะต้องฉีดเติมใหม่ทุก 6 – 8 เดือน เนื่องจากสารที่ฉีดสลายตัวลง
5. วิธีอื่น ๆ ในการรักษาแผลเป็น เช่น การใช้เลเซอร์ การกรอผิวเพื่อปรับสภาพผิว ในกรณีที่มีแผลเป็นตื้น ๆ หรือจะใช้วิธีการฉายรังสีป้องกันไม่ให้แผลเป็นนูนมากขึ้น
***สำคัญที่สุดคือ ไม่ควรเกาบริเวณที่เป็นแผลเป็น จะทำให้แผลอักเสบ ระคายเคือง และอาจติดเชื้อได้นะคะ***
หน้าที่เข้าชม | 833,422 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 617,085 ครั้ง |
เปิดร้าน | 9 พ.ย. 2556 |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |